คอร์ส IELTS Private เป็นคอร์สเรียนที่เหมาะสำหรับนักเรียน ที่ไม่มีพื้นฐานภาษาอังกฤษจนถึงนักเรียนที่มีพื้นฐานภาษาอังกฤษอยู่แล้ว ในคอร์สนี้นักเรียนสามารถเลือกวันและเวลาเรียนได้ ตามตารางที่ตัวเองต้องการ โดยการแจ้งวันและเวลาที่สะดวก จึงเหมาะกับนักเรียนที่ไม่สามารถเรียนตามตารางเรียนที่สถาบันกำหนด
ข้อดีของการเรียนคอร์ส IELTS Private คือการเรียนตัวต่อตัวกับผู้สอน ซึ่งทำให้นักเรียนสามารถซักถามทุกข้อสงสัยได้ตลอดเวลา และ เรียนรู้ตามขบวนการที่เหมาะสมกับนักเรียน จึงช่วยให้นักเรียนสามารถเข้าใจเนื้อหาได้อย่างลึกซึ้งและครบถ้วน
ผู้สอนจะมีเวลาในการอธิบายในบทเรียนต่างๆ และปรับการสอนเพื่อให้สอดคล้องกับนักเรียนมากที่สุด ซึ่งจะช่วยให้การเรียนมีประสิทธิภาพที่ค่อนข้างสูง เนื้อหาและแบบฝึกหัดในการสอนถูกออกแบบมาในรูปแบบเดียวกับ คอร์ส IELTS Basic และ IELTS Advanced แต่จะถูกนำมาใช้ให้เหมาะสมกับนักเรียนแต่ละคน
ด้วยตารางเรียนที่เหมาะสม และ เนื้อหาที่เข้มข้น นักเรียนจะได้เรียนรู้ใจความสำคัญ และฝึกฝนจากการทำแบบฝึกหัด ที่อิงมากจากแนวข้อสอบ GED ทำให้นักเรียนทุกคนสามารถมั่นใจ และทำข้อสอบได้อย่างมีประสิทธิภาพ สอบผ่านได้ภายในครั้งเดียว
คอร์สเรียน IELTS QUEST เป็นคอร์สระยะสั้นที่เน้นการติวสอบอย่างเข้มข้น ทุกๆชั่วโมงในคลาสเรียน IELTS ผู้เรียนจะได้เรียนจากเนื้อหาที่ออกข้อสอบประจำ ซึ่งทางสถาบันจะคัดเลือกเนื้อหาให้ตรงกับข้อสอบมากที่สุด พร้อมเรียนเนื้อหาการสอบที่หลากหลาย เพื่อให้ผู้เรียนได้เตรียมตัวครบทุกด้านก่อนลงสนามจริงนอกเหนือจากนั้นคอร์สติว IELTS ของที่นี่ จะเน้นการตอบให้ได้คะแนนในทุกๆข้อ เน้นการหาคำตอบด้วยเทคนิคเฉพาะพาร์ท และที่สำคัญ ทุกคอร์สจะเน้นวิธีทำข้อสอบ ตั้งแต่การตีความโจทย์ จนกระทั่งการใช้คำศัพท์ที่เพิ่มคะแนนได้ ในรูปแบบที่ถูกต้องตามหลักเกณฑ์การให้คะแนนของ IELTS
นักเรียนสามารถเลือกวันและเวลาเรียนทางออนไลน์ได้
IELTS (International English Language Testing System) เป็นการทดสอบภาษาอังกฤษที่ถูกออกแบบเพื่อวัดความสามารถด้านการสื่อสารทางภาษาของผู้ที่ต้องการเรียนหรือทำงานในองค์กรที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลักในการสื่อสาร ข้อสอบ IELTS พัฒนาร่วมกันระหว่าง The University of Cambridge ESOL Examinations (Cambridge ESOL), British Council และ IDP : IELTS Australia ซึ่งข้อสอบ IELTS ถือได้ว่าเป็นข้อสอบที่ใช้ประเมินความสามารถทางภาษาอังกฤษที่ได้มาตรฐานระดับนานาชาติซึ่งครอบคลุมทักษะทางภาษาทั้ง 4 ทักษะไม่ว่าจะเป็นการฟัง การอ่าน การเขียน และการพูด ที่เป็นก้าวแรก และก้าวสำคัญของน้องๆ ที่จะไปเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยหลักสูตรนานาชาติ รวมไปถึงเรียนต่อต่างประเทศ
ข้อสอบ IELTS ครอบคลุมทั้ง 4 ทักษะ
Listening – ทักษะการฟัง
Speaking – ทักษะการพูด
Reading – ทักษะการอ่าน
Writing – ทักษะการเขียน
ทุกทักษะจะถูกให้คะแนนตามความสามารถของผู้สอบเรียงจาก Band 1-9 (1 ต่ำสุด, 9 สูงสุด) หลังจากคะแนนทั้ง 4 ทักษะถูกคำนวณแล้ว ค่าเฉลี่ยของทั้ง 4 ทักษะจะถูกคำนวณโดยจะให้คะแนนเรียง Band 1-9 คะแนนเต็มในแต่ละทักษะ และ คะแนนค่าเฉลี่ยรวมของทั้ง 4 ทักษะ จะอยู่ที่ Band 9
*** มหาวิทยาลัยลำดับต้นๆของประเทศไทยส่วนมากจะต้องการค่าเฉลี่ยของคะแนน (Band) IELTS ที่ประมาณ Band 6 – 6.5 ขึ้นไป (ขึ้นอยู่กับข้อกำหนดของแต่ละมหาวิทยาลัย
สำหรับใครที่ตัดสินใจว่าจะสอบ TOEFL หรือ IELTS ดี ซึ่งปัจจัยที่มีผลต่อหลายๆคนก็คือข้อสอบไหน “ง่าย” กว่ากัน ซึ่งทาง ETS ซึ่งเป็นองค์กรผู้จัดสอบ TOEFL ได้ทำการทดสอบโดยให้ผู้สอบจำนวน 1,153 คนไปทำการสอบข้อสอบทั้งคู่มาแล้วสรุปผลออกมาเป็นตารางนี้
“แล้วตกลงข้อสอบไหนง่ายกว่ากัน” ตารางนี้จะให้คำตอบได้ต้องมีข้อมูล Requirements มาประกอบ เช่น หลักสูตร BALAC จุฬาฯ (อักษรศาสตร์อินเตอร์) กำหนดว่าต้องมีผลสอบภาษาอังกฤษตัวใดตัวหนึ่ง ซึ่งหากสอบ TOEFL จะต้องได้คะแนน 79 ขึ้นไป หากสอบ IELTS จะต้องได้คะแนน 6.0 ขึ้นไป อย่างนี้สรุปได้ว่า “สอบ IELTS” ดีกว่า เหตุผลคือ
1. จากการทดสอบพบว่าคนที่สอบ IELTS ได้ 6.0 ควรจะมีความสามารถเท่ากับคนที่สอบ TOEFL ได้ 60-78 คะแนน (ต่างจาก Requirements ที่เห็นว่าคนที่สอบ IELTS ได้ 6.0 ควรจะมีความสามารถเท่ากับคนที่สอบ TOEFL ได้ 79 คะแนน) ดังนั้นการทำ TOEFL ได้ 79 คะแนนจึง “ยากกว่า” ทำ IELTS ได้ 6.0 คะแนน
2. ข้อสอบ IELTS มีการคำนวณคะแนนจาก 4 Parts โดยนำผลรวมมาหาร 4 และหากได้ค่ามีเศษ .25 จะปัดเป็น .5 และหากได้ค่า .75 จะปัดขึ้นเป็น .0 เช่น สอบ IELTS ได้คะแนนแยก 4 Parts เป็น 5.5, 5.5, 6.0, 6.0 แสดงว่าคะแนนรวมคือ 23 เมื่อหาร 4 จะได้คะแนน 5.75 (แต่ผล IELTS มีแต่ลงท้ายด้วย .0 และ .5 ดังนั้นในกรณีนี้จึงปัดขึ้น) Overall Band Score จึงเท่ากับ 6.0 ในขณะที่การสอบ TOEFL เป็นการรวมคะแนน 4 Parts เข้าด้วยกัน จึงไม่ได้ประโยชน์จากการ “ปัด” เหมือนกับ IELTS
ในแง่เนื้อหานั้นไม่จำเป็นที่ TOEFL จะต้องยากกว่า IELTS ของอย่างนี้ขึ้นอยู่กับความถนัดของแต่ละคน แต่การตั้ง Requirements ของมหาวิทยาลัยทำให้การสอบ TOEFL ดูเหมือนจะยากกว่าเท่านั้นเอง
IELTS เป็นการทดสอบเพื่อวัดระดับทักษะทางภาษาอังกฤษที่จำเป็นต้องใช้ในการศึกษาหรือการฝึกงาน การทดสอบจะแบ่งออกเป็น 4 หมวด โดยที่ทักษะด้านการฟังและการพูด เหมือนกัน แต่จะสามารถเลือกหมวดการสอบในส่วนของการอ่านและการเขียนเป็นแบบการฝึกอบรมทั่วไป (General Training) หรือแบบวิชาการ (Academic) ก็ได้
ผู้สอบที่มีความประสงค์เพื่อการศึกษาต่อ ควรเลือกสอบหมวดการอ่านและการเขียนเชิงวิชาการ (Academic Reading and Writing Modules) และสำหรับผู้สอบที่มีความประสงค์เดินทางไปฝึกงานหรืออพยพย้ายถิ่นฐานควรเลือกสอบหมวดการอ่านและการเขียนเชิงการฝึกอบรมทั่วไป (General Training Reading and Writing Modules)
การสอบใน 3 หมวดแรก การฟัง การอ่าน และการเขียนจะต้องสอบภายในวันเดียวกันโดยไม่มีการพักระหว่างการสอบ ส่วนวันทดสอบการพูดนั้นขึ้นอยู่กับศูนย์สอบจะกำหนด โดยจะทำการสอบภายใน 7 วันก่อนหรือหลังการทดสอบในหมวดอื่นๆ
การฟัง: เวลา 40 นาที (ฟังเนื้อเรื่อง 30 นาทีและตอบคำถาม 10 นาที)
ผู้สอบจะต้องฟังเนื้อเรื่องจากเทปเนื้อเรื่องประกอบด้วยการสนทนาและบทพูดรวมทั้งความหลากหลายของการออกเสียงและสำเนียงท้องถิ่นที่ปะปนกัน ผู้สอบจะได้ฟังบทสนทนา 1 ครั้งและมีเวลาให้ในการอ่านและตอบคำถาม
การอ่าน: เวลา 60 นาที
– การอ่านเชิงวิชาการ
เนื้อเรื่องมีทั้งหมด 3 เรื่องประกอบไปด้วยเนื้อหาที่นำมาจากหนังสือ นิตยสาร บทความและหนังสือพิมพ์โดยเน้นเขียนให้ผู้อ่านที่ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง ข้อสอบ 1 ชุดจะมีจำนวนนี้อย่างน้อยที่สุดจะมีเรื่องหนึ่งที่มีลักษณะเชิงอภิปราย
– การอ่านเชิงการฝึกอบรมทั่วไป
เนื้อหาการอ่านส่วนใหญ่เน้นสิ่งที่พบในชีวิตประจำวันในต่างประเทศโดยนำมาจากหนังสือพิมพ์ โฆษณาและคู่มือการสอน และหนังสือต่างๆ โดยจะทดสอบความสามารถในการทำความเข้าใจและการใช้ข้อมูลของผู้สอบเป็นสำคัญ ข้อสอบจะประกอบไปด้วยข้อความยาว ๆ 1 ข้อความซึ่งเนื้อหาจะเป็นในทางอธิบายมากกว่าการอภิปราย
การเขียน: เวลา 60 นาที
– การเขียนเชิงวิชาการ
แบ่งออกเป็น 2 ส่วนโดยในส่วนแรกผู้สอบจะต้องเขียนรายงานประมาณ 150 คำตามตารางและแผนภาพเพื่อแสดงความสามารถในการบรรยายและอธิบายข้อมูลส่วนที่ 2 ผู้สอบต้องเขียนเรียงความสั้นความยาวประมาณ 250 คำเพื่อโต้ตอบข้อคิดเห็นหรือปัญหาโดยแสดงความความสามารถในการอภิปรายโต้แย้งและใช้สำนวนการเขียนที่เหมาะสม
– การเขียนเชิงฝึกอบรมทั่วไป
แบ่งออกเป็น 2 ส่วนโดยในส่วนแรกผู้สมัครจะต้องเขียนจดหมายความยาวประมาณ 150 คำ เนื้อหาเกี่ยวข้องกับการสอบถามข้อมูลหรือการอธิบายสถานการณ์ต่างๆ ส่วนที่ 2 เป็นการเขียนเรียงความสั้นความยาวประมาณ 250 คำเพื่อแสดงความคิดเห็นหรือตอบปัญหาตามประเด็นที่ตั้งไว้
การพูด: เวลา 10-14 นาที
เนื้อหาการทดสอบการพูดจะเป็นการสัมภาษณ์แบบตัวต่อตัวโดยผู้สมัครจะได้รับการประเมินในส่วนของการใช้ภาษาเพื่อตอบคำถามสั้นๆ พูดเกี่ยวกับหัวข้อที่คุ้นเคยและสามารถโต้ตอบกับผู้สัมภาษณ์ได้
โดยการสอบจะเรียงลำดับจาก “การฟัง” “การอ่าน” และ “การเขียน” ส่วน “การพูด” มักจะสอบในวันอื่นคะแนนของการสอบ IELTS เริ่มตั้งแต่ 0 ไปจนถึง 9.0 ซึ่งคะแนนนี้เรียกว่า Band Score โดยคะแนนที่ได้จะลงท้ายด้วย .0 หรือ .5 เท่านั้น ในการคำนวณคะแนนสอบจะนำคะแนนดิบ (Raw Score) มาแปลงค่าซึ่งหากคำนวณได้ Band Score ลงท้ายด้วย .25 ระบบจะทำการปัดค่าเป็น .5 ให้โดยอัตโนมัติ และหากคำนวณได้ Band Score ลงท้ายด้วย .75 ระบบจะทำการปัดค่าเป็น .0 ให้โดยอัตโนมัติเช่นกัน ตัวอย่างเช่น หากคำนวณคะแนน Band Score ได้ 5.75 คะแนน ระบบจะออกใบรายงานผลคะแนนให้ที่ 6.0 เป็นต้น
ผู้ที่เข้าทดสอบแบบทดสอบ IELTS สามารถนำผลสอบไปใช้เพื่อการศึกษาต่อได้ทั้งในและต่างประเทศ
(1) ภายในประเทศ: หลักสูตรนานาชาติเกือบทุกแห่งในประเทศไทยยินดีรับผลสอบ IELTS โดยคะแนนขั้นต่ำมีตั้งแต่ 4.0 ไปจนถึง 7.0 เลยทีเดียว
(2) ต่างประเทศ: ประเทศในเครือจักรภพอังกฤษ เช่น สหราชอาณาจักร ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ มักยอมรับผล IELTS นอกจากนี้หลายมหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกาก็เริ่มยอมรับผล IELTS มากขึ้น
โดยคะแนนขั้นต่ำของบางมหาวิทยาลัยอาจกำหนดไว้สูงถึง 8.5 ก็มี
การสอบ IELTS มักจะเป็นส่วนสำคัญของกระบวนการคัดเลือก แต่มหาวิทยาลัยแต่ละแห่งมักจะต้องการคุณสมบัติอื่นๆด้วย ในกรณีที่ต้องการยื่นสมัครหลักสูตรอินเตอร์ในระดับมหาวิทยาลัย มักจะต้องยื่นผลสอบวิชาอื่นๆด้วย เช่น SAT, CU-AAT, MUIC
หน่วยงานที่รับผิดชอบจัดสอบ IELTS ในประเทศไทยประกอบไปด้วย 2 ศูนย์ทดสอบอันได้แก่
1. บริติช เคาน์ซิล ประเทศไทย โทร 02 657 5678 ศูนย์ทดสอบในกรุงเทพฯอยู่ที่โรงแรมแลนด์มาร์ค นอกจากนี้ยังมีศูนย์สอบที่เชียงใหม่ ภูเก็ตและขอนแก่น
2. IDP Education Service โทร 02 638 3111 ศูนย์ทดสอบในกรุงเทพฯอยู่ที่อาคารซีพี (สีลม) หรือใกล้เคียงศูนย์สอบในต่างจังหวัดอยู่ที่เชียงใหม่ หาดใหญ่ ภูเก็ตและขอนแก่น
ค่าทดสอบ IELTS 6,440-6,750 บาท (สำหรับรอบสอบ 19 ก.ย. 58 เป็นต้นไป)
ผู้สมัครต้องชำระค่าสมัครก่อนวันสอบโดยไม่สามารถรับค่าธรรมเนียมคืนหรือขอเปลี่ยนเป็นรูปแบบใดๆเมื่อได้ลงทะเบียนแล้ว ในกรณีที่ผู้สมัครไม่สามารถเข้าสอบในวันสอบที่กำหนดด้วยเหตุผลด้านสุขภาพ ผู้สมัครสามารถขอเปลี่ยนวันสอบเป็นวันสอบครั้งถัดไปหรือขอรับค่าธรรมเนียมการสอบคืนได้บางส่วน โดยผู้สมัครต้องแสดงหลักฐานใบรับรองแพทย์ซึ่งออกโดยโรงพยาบาลของรัฐยื่นให้ศูนย์สอบอย่างน้อย 2 สัปดาห์ก่อนวันสอบ
อนึ่งศูนย์สอบจะปิดรับสมัคร 3 วันก่อนวันสอบหรือเมื่อวันสอบในรอบนั้นเต็ม ในวันสอบผู้สอบจะต้องนำหลักฐานแสดงตัวคือบัตรประชาชนที่ยังไม่หมดอายุจนถึงวันสอบ
การสอบ IELTS มักจะเป็นส่วนสำคัญของกระบวนการคัดเลือก แต่มหาวิทยาลัยแต่ละแห่งมักจะต้องการคุณสมบัติอื่นๆด้วย ในกรณีที่ต้องการยื่นสมัครหลักสูตรอินเตอร์ในระดับมหาวิทยาลัย มักจะต้องยื่นผลสอบวิชาอื่นๆด้วย เช่น SAT, CU-AAT, MUIC